|
การขับรถอย่างถูกวิธีในสภาวะต่างๆ
รถติดบนทางชัน
ผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับรถที่ขับเมื่อรถติดบนทางขึ้นสะพาน
มักเกิดปัญหารถถอยหลังขณะจะออกตัว เครื่องดับ สะดุด ควรปฏิบัติดังนี้
- ดึงเบรคมือไว้ในตำแหน่งเกียร์ว่าง ปล่อยแป้นเหยียบเบรค
- จะออกรถ(เกียร์ธรรมดา) เข้าเกียร์ 1 มือซ้ายจับเบรคมือ มือขวาจับพวงมาลัย
ปล่อยคลัทช์ช้าๆ เหยียบคันเร่งเบาๆ รถทําท่าขยับเคลื่อนไปข้างหน้า
แล้วจึงกดปุ่มปลดเบรคมือลง
- ถ้าเกียร์ auto เข้าเกียร์ค้างไว้พร้อมเหยียบเบรคเมื่อหยุด แล้วปล่อยเบรค
เมื่อ่ต้องการเคลื่อนที่เหยียบคันเร่งเบาๆ รถจะเคลื่อนที่ๆไปข้างหน้า
การขับรถในเวลากลางคืน
- ไม่ควรขับรถด้วยความเร็วสูง
- ใช้ไฟสูงถ้าถนนมืดมาก
- ลดแสงสว่างที่หน้าปัทม์ลง
- เปลี่ยนเป็นใช้ไฟต่ำเมื่อมีรถสวนมา
การขับรถในขณะฝนตก
- ไม่ควรขับรถด้วยความเร็วสูง เพราะถนนเมื่อเปียกน้ำแล้วจะลื่น
- ไม่ควรขับรถในกรณีที่ฝนตกหนักมาก
การขับรถในขณะน้ำท่วม
- ขับลุยน้ำ ในกรณีที่ไม่มีทางหลีกเลื่ยงเท่านั้น
- ต้องระมัดระวังรถที่สวนมาหรือรถของตนเอง
หากวิ่งเร็วอาจทำให้น้ำเข้าห้องเครื่องหรือห้องโดยสารได้
- ไม่ขับรถลุยน้ำที่สูงกว่าระดับพื้นรถด้านใน
เพื่อหลีกเลี่ยงน้ำเข้าห้องเครื่องยนต์
หรืออุปกรณ์ๆไฟฟ้าซึ่งหากเสียหายจะเป็นมูลค่าสูงมาก
- เมื่อพ้นจากบริเวณน้ำท่วมควรย้ำเบรคหลายๆครั้งเพื่อช่วยให้ผ้าเบรคแห้งตัว
- เมื่อพ้นระยะน้ำท่วมแล้ว ควรนำรถเข้าศูนย์บริการ เพื่อตรวจสอบให้ละเอียด
|
การควบคุมรถในขณะเกิดอุบัติเหตุ
รถหลุดจากทางวิ่ง
- อย่าเหยียบเบรคกระทันหัน
จนล้อล็อคไถลไปกับพื้นเพราะควบคุมทิศทางรถไม่ได้
เหยียบแล้วปล่อยเมื่อรู้สึกว่าล้อไถล
- อย่าหักพวงมาลัยกระทันหัน เพราะรถอาจเสียหลักหมุน หรือพลิกคว่ำ
คืนพวงมาลัยทันทีที่รู้สึกว่ารถเสียหลัก แล้วจึงหักเลี้ยวใหม่
มีรถวิ่งสวนเข้ามาในเลน
- ลดความเร็วลงให้มาก
- กระพริบไฟสูงเตือนรถที่สวนเข้ามา
- ชิดขอบทางซ้าย
- อย่าหลบไปในเลนที่รถสวนมา
เพราะบ่อยครั้งคนขับจะรู้ตัวแล้วหักหลบท่ำให้ชนกับเราได้
มีสิ่งของตกขวางอยู่บนถนน
- ลดความเร็วลง
- ของมักใหญ่กว่าที่เห็นจริง อย่าวิ่งทับ
- อย่าหลบไปในเลนที่รถสวนมา
- หากต้องวิ่งชนหรือทับ เมือผ่านแล้ว ควรจอดตรวจสอบใต้ท้องรถเช่น
คันชัก คันส่ง ท่อเชื้อเพลิง ถังน้ำมัน ยางล้อ เป็นต้น
หากเกิดความเสียหายมากให้ติดต่อศูนย์บริการที่ใกล้ที่สุด
หรือนำรถเข้าศูนย์บริการให้ตรวจสอบอย่างละเอียด
สัตว์เลี้ยงขวางทาง
- ลดความเร็วลง
- อย่าหลบไปในเลนที่มีรถสวน
- กดแตรเบาๆ ให้มันหลบ
- ควรเลี้ยวไปทางด้านของหลังสัตว์
การตัดหน้าจะทำให้ตกใจเตลิดกลับอาจเกิดอันตรายกับรถที่สวนมา
- อย่าเบรคอย่างรุนแรง ขณะขับด้วยความเร็วสูง
และไม่ควรหักหลบอย่างรุนแรงจะทำให้พลิกคว่ำได้
- ตรึงพวงมาลัยจับให้มั่น
ยางแตก
- อย่าเหยียบเบรคอย่างแรง
- ตรึงพวงมาลัยไว้ เพราะพวงมาลัยจะดึงไปข้างที่ยางแตก หากเป็นล้อหน้า
หรือส่ายไปมาหากเป็นล้อหลัง
- ลดความเร็วลงด้วยการถอนคันเร่ง
- เปลี่ยนเกียร์ต่ำ
- เหยียบเบรคเบาๆ พร้อมกับประคองรถเข้าข้างทาง
- ทำการเปลี่ยนยาง
เมื่อรถยางแบน
- ให้ลดความเร็วลงช้าๆรักษาแนวตรงของรถ นำรถเข้าจอดข้างทาง
- ดับเครื่องยนต์และปิดสวิทช์ไฟฉุกเฉิน
- ดึงเบรคมือ และเข้าเกียร์ P (สำหรับเกียร์auto)
หรือเข้าเกียร์ถอยหลัง(สำหรับเกียร์ธรรมดา)
- ทำการเปลี่ยนยาง
|
|
การขับรถให้ประหยัดน้ำมัน
และยืดอายุการใช้งานเครื่องยนต์
การขับรถเพื่อให้ได้ระยะทางที่เพิ่มมากขึ้นต่อน้ำมันหนึ่งลิตร
เป็นสิ่งที่สามารถทำได้อย่างง่ายทั้งยังเป็นผลทำให้อายุการใช้งานของเครื่องยนต์ยาวนานยิ่งขึ้น
เป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย่ทั้งค่าซ่อม
และค่าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยการปฏิบัติคตามข้อแนะนำดังต่อไปนี้
-
เติมลมยางให้มีความดันถูกต้องเสมอโดยการตรวจเช็คความดันลมยางอย่างน้อยเดือนละครั้ง
ลมยางอ่อนเกินไป จะกินยางและสิ้นเปลืองเฃื้อเพลิง
- อย่านำของที่ไม่จำเป็นไปกับรถ
น้ำหนักที่บรรทุกไปโดยไม่จำเป็นจะกินกำลังเครื่องยนต์และสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น
- ไม่จำเป็นต้องอุ่นเครื่องนาน ทันทีที่เครื่องเดินเรียบก็ค่อยๆออกรถได้
- เร่งเครื่องอย่างช้าๆและนุ่มนวล อย่าเร่งออกรุนแรง
และเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้นโดยเร็ว
- อย่าติดเครื่องเดินเบานานๆ เมื่อต้องรอคอยนานๆ
หรือไม่ได้ขับขี่อยู่ควรดับเครื่องแล้วค่อยๆสตาร์ทใหม่ทีหลัง
-
หลีกเลี่ยงการลากเกียร์และเร่งเครื่องจนรอบจัดเกินไปใช้เกียร์ให้เหมาะสมกับช่วงความเร็ว
และ สภาพถนน
- อย่าหยุดหรือเบรคโดยไม่จำเป็น กะช่วงเวลาและสัญญาณไฟจราจรให้ดี
รักษาระยะจากคนอื่นให้พอสมควร เพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตู และ
การเบรคหยุดโดยไม่จำเป็น
- หลีกเลี่ยงการจราจรที่หนาแน่นติดขัด
-
อย่าวางพักเท้าบนแป้นเหยียบคลัชท์หรือเบรคซึ่งจะก่อให้เกิดความสึกหรอที่ไม่จำเป็นและสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น
- รักษาความเร็วบนทางหลวงให้พอเหมาะ ยิ่งขับขี่ด้วยความเร็วสูงมากๆ
ยิ่งสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น
- ล้างฝุ่นและโคลนใต้ท้องรถออกให้หมด
นอกจากจะเป็นการช่วยลดน้ำหนักยังป้องกันสนิมด้วย
- ระมัดระวังศูนย์ล้อให้ถูกต้องเสมอ ระวังอย่าให้ชน
หรือกระทบกระแทกจนศูนย์ล้อหน้าเสีย
ซึ่งนอกจากจะเป็นผลให้ยางสึกหรอผิดปกติแล้ว ยังเพิ่มภาระให้กับเครื่องยนต์
ทำให้สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงไปโดยเปล่าประโยชน์ด้วย
- หมั่นปรับตั้งเครื่องยนต์ให้สมบูรณ์อยู่เสมอ
จะทำให้สมรรถนะของเครื่องยนต์ดีอยู่เสมอ ก็จะไม่สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
|
การตรวจเช็ครถก่อนเดินทางไกล
การตรวจเช็คที่ไม่เสียเวลามากนักก่อนเดินทาง จะช่วยให้มั่นใจในการขับขี่
ตรวจรถภายนอก
- ยาง ตรวจความดันลมยาง ดอกยาง และรอยฉีกขาด
- ตรวจดูว่าขันแน่นดี แต่ก็ไม่แน่นจนเกินไปจนคลายออก ไม่ได่ด้วยตัวเอง
- รอยรั่วซึม ตรวจดูว่ามีร่องรอยน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรค
หรือ น้ำรั่วซึมจากใต้ท้องรถ
- ยางปัดน้ำฝน ทดลองปัดดู
- ไฟส่องสว่าง ตรวจดูไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเบรค
ไฟเลีย้วหรืออื่นๆรวมทั้งระดับไฟหน้าด้วยว่าเป็นปกติทั้งหมด
ตรวจภายในรถ
- ยางอะไหล่และแม่แรง ตรวจเช็คลมยาง
และให้แน่ใจว่าแม่แรงและด้ามขันใช้งานได้ตามปกติ
- เข็มขัดนิรภัย ตรวจเช็คว่าหัวเข็มขัดสามารถลอ็คได้เรียบร้อย
- แตร ให้แน่ใจว่าดังดี
- แผงควบคุมและอุปกรณ์ ตรวจดูให้แน่ใจว่าทำงานเป็นปกติ และที่ปัดน้ำฝน
ปัดได้เรียบร้อยสม่ำเสมอ
- เบรก เช็คระยะฟรีขาเบรคอยู่ในค่ากำหนดหรือไม่
- ฟิวส์สำรองที่เตรียมไว้ต้องมีขนาดค่ากระแสใช้ได้ตามที่กำหนดที่แผงฟิวส์
ตรวจใต้ฝากระโปรงหน้า
- ระดับน้ำหล่อเย็น ควรจะมีอยู่ถึงระดับสูงสุดในถังพักสำรอง
- หม้อน้ำและท่อยาง ควรดูว่าด้านหน้าหม้อน้ำหมดจดไม่มีเศษวัสดุ
หรือใบไม้ติดอยู่ ดูท่อยางว่ามีรอยแยกเปื่อย มีรอยฉีกขาดหรือหลวม
- สายพานขับต่างๆ ต้องไม่มีรอยแตก เลอะน้ำมันหล่อลื่น
และความตึงสายพานอยู่ในค่ากำหนด
- แบตเตอรี่และสายไฟ
ตรวจดูและเติมน้ำกลั่นให้ได้ระดับที่กำหนดดูเปลือกแบตเตอรี่ว่ามีร่องรอยเสียหายหรือไม่
ดูขั้วต่อและสายไฟว่าอยู่ในสภาพดีหรือไม่
- ระดับน้ำมันเบรคและคลัชท์
ตรวจดูว่าระดับน้ำมันเบรคและคลัทช์อยู่ในระดับที่ถูกต้อง
- ท่อน้ำมันเชื้อเพลิง ตรวจดูว่าท่อน้ำมันมีการรั่ว หลุดหรือไม่
|
ถ้าเครื่องยนต์ดับในขณะขับรถควรทำอย่างไร
- เปิดสวิทช์สัญญาณไฟฉุกเฉิน
- ปลดเกียร์มาอยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่าง
- ค่อยๆลดความเร็วลง
รักษาแนวตรงแล้วหลบเข้าข้างทางอย่างระมัดระวังในที่ที่ปลอดภัย
- ลองสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่อีกครั้ง
|
ทำอย่างไรเมื่อเครื่องร้อนจัด (over heat)
ในขณะขับขี่
โดยปกติอุณหภูมิของเครื่องยนต์หรืออุณหภูมิของน้ำหล่อเย็น จะอยู่ที่ประมาณ 85
องศาเซลเซียส-90 องศาเซลเซียส
และเข็มวัดอุณหภูมิที่แสดงบนแผงหน้าปัทม์จะอยู่ที่ระดับไม่เกินครึ่งหนึ่งของมาตรวัด
( สูงไม่เกินกึ่งกลางระหว่างตัว C และ H )
ถ้าเมื่อใดก็ตามเข็มวัดอุณหภูมิสูงจนถึงตัว H
นั่นย่อมแสดงว่าเกิดความผิดปกติในระบบระบายความร้อน
(ยกเว้นมาตรวัดอุณหภูมิเสีย)
|
การใช้เกียร์อัตโนมัติ
ตำแหน่งและหน้าที่ของแต่ละเกียร์เพื่อผู้ขับขี่สามารถเลือกใช้ตำแหน่งเกียร์ได้ถูกต้อง
" P" จอด และสตาร์ทเครื่องยนต์ ตำแหน่งนี้ใช้เมื่อจอดรถ
ซึ่งจะล็อคเกียร์ได้ ป้องกันไม่ให้รถเลื่อนไหล
"R" ถอยหลัง ตำแหน่งนี้จะทำให้รถเคลื่อนที่ถอยหลัง
"N" เกียร์ว่าง เมื่ออยู่ในตำแหน่งนี้
เครื่องยนต์จะไม่เชื่อมต่อกับล้อรถทำให้รถเลื่อนไหลไปมาได้
และสามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ติดได้
"D" ขับ เมื่อเข้าในตำแหน่งนี้รถจะเคลื่อนที่ไปข้างหน้า
เมื่อคุณเหยียบคันเร่ง ขณะที่รถแล่นเร็วขึ้น เกียร์จะเปลี่ยนขึ้นเองอัตโนมัติ
และเมื่อลดความเร็ว ระดับเกียร์จะเปลี่ยนเองตามความเร็ว
"2" เกียร์ 2 ในตำแหน่งนี้ เกียร์จะเปลี่ยนเฉพาะเกียร์ 1และ 2
เท่านั้น เมื่อต้องการให้เครื่องยนต์ช่วยเบรค
หรือต้องการขับขี่ที่ใช้แรงฉุดลากมาก เช่น การขับขึ้นเนิน
"L"เกียร์ต่ำ ในตำแหน่งนี้เกียร์จะทำงานที่เกียร์ 1 อย่างเดียว
ใช้เมื่อต้องการการฉุดมากกว่าเกียร์ 2
หรือต้องการให้เครื่องยนต์ช่วยเบรคมากกว่าเกียร์ 2
วิธีการสตาร์ทเครื่องยนต์
ก่อนสตาร์ท
- ดึงเบรคมือ
- ปิดไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น
- มอเตอร์สตาร์ท จะไม่ทำงาน ถ้าคันเกียร์ไม่อยู่ในตำแหน่ง " P" หรือ "N"
3.1กรณีที่เครื่องยนต์ดับ และรถจอดอยู่กับที่
-ให้สตาร์ทเครื่องยนต์ขณะที่คันเกียร์อยู่ตำแหน่ง " P"
3.2 กรณีที่เครื่องดับแต่รถกำลังเคลื่อนที่
-ให้เลื่อนคันเกียร์อยู่ในตำแหน่ง"N" อย่าเลื่อนคันเกียร์มาในตำแหน่ง "
P"ในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่ไม่ว่ากรณีใดๆก็ตาม
เพราะจะทำให้กลไกภายในเกียร์เสียหายอย่างมากและสูญเสียการควบคุมรถได้
- ให้เหยียบแป้นเบรคค้างไว้
จนกว่าจะพร้อมขับเคลื่อนรถออกจากบริเวณที่จอดอยู่
การขับขี่ตามปกติ
- ทำการสตาร์ทเครื่องยนต์ตำแหน่ง เกียร์ต้องอยู่ในตำแหน่ง " P" หรือ "N"
- เหยียบเบรคไว้และเลื่อนคันเกียร์มาที่ตำแหน่ง"D" ในตำแหน่ง " D "
เกียร์อัตโนมัติ จะเข้าเกียร์ให้เหมาะสมกับ สภาพการขับขี่มากที่สุด เช่น
การลากจูง การไต่เขา และอื่นๆ
- ปลดเบรคมือและปล่อยแป้นเบรค
แล้วค่อยๆเหยียบคันเร่งช้าๆสำหรับการออกตัวอย่างนิ่มนวลระวังอย่าเหยียบคันเร่ง
ในขณะเลื่อนเกียร์
เครื่องยนต์ช่วยเบรค
ในการใช้แรงจากเครื่องยนต์เพื่อการช่วยเบรคให้เปลี่ยนเกียร์ตามที่อธิบายต่อไปนี้
- เปลี่ยนคันเกียร์มาที่ "2" ขณะที่ความเร็วรถต่ำกว่า 94 กม./ชม.
(แต่ละรุ่นไม่เท่ากัน) เกียร์จะลดมายังเกียร์ 2
ซึ่งเครื่องยนต์จะช่วยเบรคมากขึ้น
- เปลี่ยนคันเกียร์มาที่" L " ขณะที่ความเร็วต่ำกว่า 43 กม/ชม. (
แต่ละรุ่นไม่เท่ากัน) เกียร์จะลดลงมาเกียร์ 1
ซึ่งเครื่องยนต์จะมีแรงช่วยเบรคมากที่สุด
ควรระมัดระวังในการลดเกียร์บนพื้นถนนที่ลื่น การลดเกียร์อย่างทันทีทันใด
อาจทำให้รถเสียหลัก และลื่นไถลได้
การถอยหลัง
- 1.หยุดรถให้สนิท
- 2.เหยียบเบรคไว้และเลื่อนเกียร์มาที่ตำแหน่ง"R"
- 3.ปล่อยแป้นเบรคและเหยียบคันเร่งอย่างช้าๆ
การจอดรถ
- 1.หยุดรถให้สนิท
- 2.ดึงเบรคมือให้สุด
- 3.เหยียบเบรคไว้และเลื่อนคันเกียร์มาที่ตำแหน่ง "P"
-อย่าหยุดรถบนทางชันนานๆ โดยการเหยียบคันเร่ง
เพราะจะทำให้เกียร์เกิดความร้อนสูงได้ ควรใช้วิธีเหยียบเบรคหรือดึงเบรคมือ
การโยกรถเมื่อรถติดหล่ม
ให้เหยียบเบรคและเลื่อนคันเกียร์มาที่ตำแหน่ง"L" ขณะทำการโยกรถ
เพื่อให้รถที่ตกหล่มสามารถขึ้นมาได้
ต้องแน่ใจว่าไม่มีคนหรือสิ่งกีดขวางอยู่บริเวณนั้น
เนื่องจากเมือ่รถยนต์หลุดจากหลุม จะพุ่งตัวอย่างรวดเร็ว
เป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อคนหรือสิ่งกีดขวางอยู่ได้
การลากจูงรถเกียร์อัตโนมัติ
ถ้าจําเป็นต้องลากจูงรถต้องยกล้อที่ขับเคลื่อนให้ลอยพ้นพื้น หากทําไม่ได้
ก่อนลากจูงให้ปลดเบรคมือ และเข้าเกียร์"N" และสวิทช์กุญแจต้องอยู่ในตําแหน่ง
"ACC" (ควรใช้เครื่องยนต์ทํางานขณะลากจูงรถถ้าเป็นไปได้)
ควรลากด้วยความเร็วไม่เกิน 30 กม/ชม และต้องหยุดพักทุกๆ 80 กม.
เพื่อหลีกเลียงความเสียหายของเกียร์
|
|
เครื่องยนต์ระบบหัวฉีดสามารถล้างบริเวณห้องเครื่องยนต์ได้หรือไม่
เครื่องยนต์ระบบหัวฉีดอีเล็กทรอนิกส์โดยทั่วไปนั้น
ภายในห้องเครื่องยนต์ จะมีอุปกรณ์อีเล็กทรอนิกส์
ตัวรับสัญญาณและขั้วต่อสัญญาณหลายจุด ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้
หากมีน้ำรั่วซึมเข้าไปในระบบ อาจจะก่อให้เกิดความเสียหาย กับชิ้นส่วนนั้น
หรือทำให้เครื่องยนต์เดินไม่เรียบ
ดังนั้นถ้าท่านต้องการที่จะทำความสะอาดภายในห้องเครื่องยนต์ ก็ สามารถทำได้
แต่ไม่ควรที่จะใช้น้ำที่มีแรงดันสูง ในกรณีที่เครื่องยนต์สกปรกมาก
และต้องการใช้น้ำที่มีแรงดันสูงชำระ คราบสกปรก
ควรใช้ถุงพลาสติกคลุมชิ้นส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้า
และอุปกรณ์อีเล็กทรอนิกส์ให้มิดชิด เช่น ชุดจายจ่าย
กล่องฟิวส์และจุดขั้วต่อของสายไฟ
|
|
เปิดไฟหน้าทิ้งไว้จะมีผลอย่างไร
และมีผลต่อเครื่องยนต์หรือไม่
ในกรณีที่ท่านจอดรถและลืมปิดไฟหน้า
จะไม่มีผลเสียต่อระบบการทำงานของเครื่องยนต์ แต่จะทำให้กระแสไฟใน
แบตเตอรี่ถูกจ่ายไฟตลอดเวลา
ดังนั้นหากไฟหน้าถูกเปิดทิ้งไว้นานอาจจะมีผลทำให้กระแสไฟในแบตเตอรี่ไม่เพียงพอใน
การสตาร์ทเครื่องยนต์
ถ้าพบปัญหาดังกล่าว วิธีที่ดีที่สุด คือ
การพ่วงแบตเตอรี่จากรถคันอื่นเพื่อช่วยในการสตาร์ทเครื่องยนต์ให้ติด
เมื่อเครื่องยนต์ติดแล้ว อัลเทอร์เนเตอร์จะทำหน้าที่จ่ายกระแสไฟเข้าแบตเตอรี่
ซึ่งท่านควรจะขับรถไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง เพื่อให้แบตเตอรี่
เก็บกระแสไฟได้เพียงพอต่อการสตาร์ทเครื่องยนต์ครั้งต่อไป
หากรถของท่านเป็นเกียร์ธรรมดา สามารถที่จะกระชากให้เครื่องยนต์ติดได้
แต่ถ้าหากรถของท่านเป็นเกียร์อัตโนมัติ ไม่สามารถทำลักษณะเช่นนี้ได้
ต้องใช้วิธีการพ่วงแบตเตอรี่แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
|
ในรถเกียร์ธรรมดา หากแผ่นคลัทช์หมด
เราจะทราบได้อย่างไร
เมื่อแผ่นกดคลัทช์สึกหรอจนเกีอบหมด ก็จะเกิดอาการที่เรียกว่า "
คลัทช์ลื่น" สังเกตุได้ก็คือ เมื่อเราปล่อยคลัทช์
และเร่งเครื่องเพื่อออกรถรอบเครื่องจะสูงขึ้น แต่รถไม่ขยับหรือขยับช้าๆ
คล้ายๆกับไม่มีแรง และ หากแผ่นคลัทช์หมดจริงๆ
ก็จะมีหมุดทองเหลืองที่ติดอยู่บนแผ่นคลัทช์
ซึ่งเมื่อแผ่นคลัทช์สึกหรอจนถึงตัวหมุด ล้อช่วยแรงจะเสียดสีกับตัวหมุด
ทำให้เกิดเสียงดัง เป็นการเตือนให้ผู้ใช้รถทราบว่าแผ่นคลัทช์หมดแล้ว
ถ้าปล่อยไว้นานๆ จะทำให้หน้าสัมผัสของล้อช่วยแรง และแผ่นกดคลัทช์เป็นรอย
เนื่องจากการเสียดสีได้ ส่วนแผ่นคลัทช์จะสึกหลอเร็วหรือช้า
สาเหตุอาจจะมาจากการขับขี่ด้วย
|
อาการวิ่งกินซ้าย
และกินขวาของรถยนต์เกิดจากสาเหตุใด
ในสภาพถนนของเมืองไทยหลายๆแห่ง จะมีลักษณะลาดเอียงลงด้านซ้าย
ทำให้รู้สึกว่ารถกินซ้ายได้
หากถนนราบเรียบดีแต่เกิดอาการวิ่งกินด้านใดด้านหนึ่งอาจเกิดจากค่ามุมล้อไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด
นอกจากนี้สภาพของยางรถยนต์ เช่น ยางต่างขนาด ลมยางที่ไม่เท่ากัน
ยางที่อายุและความสึกหรอต่างกัน
ตลอดทั้งโครงสร้างที่ต่างกันของยางรถยนต์แต่ละแบบ หรือยี่ห้อ
ก็มีส่วนทำให้รถกินซ้ายหรือกินขวาได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น
หากท่านมั่นใจว่ารถของท่านมีอาการกินซ้ายหรือกินขวาควรนำรถเข้าศูนย์บริการ
เพื่อทำการตรวจสอบและแก้ไข
|
การพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ควรทำอย่างไรให้ปลอดภัย
- อย่าสูบบุหรี่ หรือทำงานใดๆที่เกิดประกายไฟใกล้กับแบตเตอรี่
- ทำการตรวจเช็คแรงเคลื่อนของแบตเตอรี่ เพราะแบตเตอรี่ขนาด 6v. หรือ 24v.
ไม่สามารถนำมาพ่วงกับแบตเตอรี่ขนาด 12 v. ได้ จะทำให้เกิดระเบิดขึ้นได้
- ต้องแน่ใจว่ารถไม่ได้สตาร์ทเครื่อง
- ให้การตรวจเช็คสภาพแบตเตอรี่ โดยดูจากที่วัดของแบตเตอรี่
หรือใช้ที่วัดความถ่วงจำเพาะ(HYDROMETER)
โดยดูจากสีของที่วัดเพื่อแสดงประจุไฟของแบตเตอรี่
ถ้าเป็นสีเขียวแสดงว่าระจุไฟฟ้าเต็ม
ถ้าเป็นสีน้ำตาล หรือสีดำ แสดงว่าประจุไฟหมด สมควรชาร์ทแบตเตอรี่
ถ้าเป็นสีเหลือง แสดงว่าสมควรที่จะเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้แล้ว
- ต้องมั่นใจว่าขั้วแบตเตอรี่ทั้งขั้วบวกและขั้วลบสะอาด
และถ้าต้องการที่จะทำความสะอาดให้ใช้น้ำร้อนราดที่ขั้วแบตเตอรี่ได้
- อย่าให้สายพ่วงแบตเตอรี่โดนกัน
-
ขั้นแรกนำสายพ่วงแบตเตอรี่สีแดงหรือบวกต่อเข้ากับขั้วบวกของแบตเตอรี่ที่ต้องการพ่วงก่อน
แล้วจึงต่อกับแบตเตอรี่ที่ด้านบวก
- ต่อไปนำสายพ่วงแบตเตอรี่สีดำหรือลบต่อเข้ากับขั้วลบของแบตเตอรี่ดี
แล้วสุดท้ายต่อสายพ่วงสีดำกับขั้วลบแบตเตอรี่ที่ต้องการพ่วง
- ติดเครื่องยนต์ที่แบตเตอรี่ดี เพื่อเดินเครื่องรอบเดินเบาสักพัก
- อย่าเปิดไฟหน้าในการสตาร์ทเครื่องยนต์ เพราะกำลังไฟจะตก
ทำให้เกิดความเสียหายกับรถยนต์ที่ใช้คอมพิวเตอร์
- สตาร์ทเครื่องยนต์ที่แบตเตอรี่ไม่ดี
เมื่อเครื่องติดให้เอาสายพ่วงแบตเตอรี่ออก ในลำดับย้อนกลับกับการต่อ
- เมื่อทำการพ่วงแบตเตอรี่เส็จแล้วควรเร่งเครื่องไว้ที่ 2000 รอบ
แล้วทำการตรวจสภาพของแบตเตอรี่ด้วย
|
วิ่งไปในระยะทางที่เท่าไร
จึงสมควรที่จะเปลี่ยนยางใหม่
โดยทั่วไปสามารถวิ่งได้ถึงระยะทาง 50000 กม. ซึ่งต้องขึ้นกับการขับขี่
ผิวถนน แรงดันลมยาง การบำรุงรักษา และการสลับยาง
ซึ่งสามารถตรวจเช็คสภาพของดอกยาง โดยพิจาราณาตัวบ่งชี้ความสึกหรอของยาง
ถ้ายางถึงจุดหมดสภาพสมควรเปลี่ยนยาง
ยางของรถบางยี่ห้อจะมีจุดบอกสภาพของดอกยางอยู่ด้วยว่า ถึงเวลาควรเปลี่ยนยางหรือ
ยังโดยดูจาก จุดหมดสภาพในร่องของดอกยาง เมื่อยางสึกหรอจนเหลือดอกยางลึกเพียง
1.6 มม. หรือน้อยกว่า ถ้าสึกหรอเป็นแนวมากกว่า 2 แนวขึ้นไปควรเปลี่ยนยาง
ถ้าดอกยางตื้นมากก็ต้องเสี่ยงกับการลื่นไถลมาก
|
มีวิธีป้องกันรถอย่างไร กับการใช้งานสำหรับรถใหม่
|
|
Tell a friend:
|
|
home |