เครื่องยนต์ระบบหัวฉีดสามารถล้างบริเวณห้องเครื่องยนต์ได้หรือไม่
เครื่องยนต์ระบบหัวฉีดอีเล็กทรอนิกส์โดยทั่วไปนั้น ภายในห้องเครื่องยนต์ จะมีอุปกรณ์อีเล็กทรอนิกส์ ตัวรับสัญญาณและขั้วต่อสัญญาณหลายจุด ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ หากมีน้ำรั่วซึมเข้าไปในระบบ อาจจะก่อให้เกิดความเสียหาย กับชิ้นส่วนนั้น หรือทำให้เครื่องยนต์เดินไม่เรียบ ดังนั้นถ้าท่านต้องการที่จะทำความสะอาดภายในห้องเครื่องยนต์ ก็ สามารถทำได้ แต่ไม่ควรที่จะใช้น้ำที่มีแรงดันสูง ในกรณีที่เครื่องยนต์สกปรกมาก และต้องการใช้น้ำที่มีแรงดันสูงชำระ คราบสกปรก ควรใช้ถุงพลาสติกคลุมชิ้นส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้า และอุปกรณ์อีเล็กทรอนิกส์ให้มิดชิด เช่น ชุดจายจ่าย กล่องฟิวส์และจุดขั้วต่อของสายไฟ
เปิดไฟหน้าทิ้งไว้จะมีผลอย่างไร และมีผลต่อเครื่องยนต์หรือไม่
ในกรณีที่ท่านจอดรถและลืมปิดไฟหน้า จะไม่มีผลเสียต่อระบบการทำงานของเครื่องยนต์ แต่จะทำให้กระแสไฟใน แบตเตอรี่ถูกจ่ายไฟตลอดเวลา ดังนั้นหากไฟหน้าถูกเปิดทิ้งไว้นานอาจจะมีผลทำให้กระแสไฟในแบตเตอรี่ไม่เพียงพอใน การสตาร์ทเครื่องยนต์
ถ้าพบปัญหาดังกล่าว วิธีที่ดีที่สุด คือ การพ่วงแบตเตอรี่จากรถคันอื่นเพื่อช่วยในการสตาร์ทเครื่องยนต์ให้ติด เมื่อเครื่องยนต์ติดแล้ว อัลเทอร์เนเตอร์จะทำหน้าที่จ่ายกระแสไฟเข้าแบตเตอรี่ ซึ่งท่านควรจะขับรถไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง เพื่อให้แบตเตอรี่ เก็บกระแสไฟได้เพียงพอต่อการสตาร์ทเครื่องยนต์ครั้งต่อไป
หากรถของท่านเป็นเกียร์ธรรมดา สามารถที่จะกระชากให้เครื่องยนต์ติดได้ แต่ถ้าหากรถของท่านเป็นเกียร์อัตโนมัติ ไม่สามารถทำลักษณะเช่นนี้ได้ ต้องใช้วิธีการพ่วงแบตเตอรี่แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ในรถเกียร์ธรรมดา หากแผ่นคลัทช์หมด เราจะทราบได้อย่างไร
เมื่อแผ่นกดคลัทช์สึกหรอจนเกีอบหมด ก็จะเกิดอาการที่เรียกว่า " คลัทช์ลื่น" สังเกตุได้ก็คือ เมื่อเราปล่อยคลัทช์ และเร่งเครื่องเพื่อออกรถรอบเครื่องจะสูงขึ้น แต่รถไม่ขยับหรือขยับช้าๆ คล้ายๆกับไม่มีแรง และ หากแผ่นคลัทช์หมดจริงๆ ก็จะมีหมุดทองเหลืองที่ติดอยู่บนแผ่นคลัทช์ ซึ่งเมื่อแผ่นคลัทช์สึกหรอจนถึงตัวหมุด ล้อช่วยแรงจะเสียดสีกับตัวหมุด ทำให้เกิดเสียงดัง เป็นการเตือนให้ผู้ใช้รถทราบว่าแผ่นคลัทช์หมดแล้ว ถ้าปล่อยไว้นานๆ จะทำให้หน้าสัมผัสของล้อช่วยแรง และแผ่นกดคลัทช์เป็นรอย เนื่องจากการเสียดสีได้ ส่วนแผ่นคลัทช์จะสึกหลอเร็วหรือช้า สาเหตุอาจจะมาจากการขับขี่ด้วย
อาการวิ่งกินซ้าย และกินขวาของรถยนต์เกิดจากสาเหตุใด
ในสภาพถนนของเมืองไทยหลายๆแห่ง จะมีลักษณะลาดเอียงลงด้านซ้าย ทำให้รู้สึกว่ารถกินซ้ายได้ หากถนนราบเรียบดีแต่เกิดอาการวิ่งกินด้านใดด้านหนึ่งอาจเกิดจากค่ามุมล้อไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด นอกจากนี้สภาพของยางรถยนต์ เช่น ยางต่างขนาด ลมยางที่ไม่เท่ากัน ยางที่อายุและความสึกหรอต่างกัน ตลอดทั้งโครงสร้างที่ต่างกันของยางรถยนต์แต่ละแบบ หรือยี่ห้อ ก็มีส่วนทำให้รถกินซ้ายหรือกินขวาได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น หากท่านมั่นใจว่ารถของท่านมีอาการกินซ้ายหรือกินขวาควรนำรถเข้าศูนย์บริการ เพื่อทำการตรวจสอบและแก้ไข
การพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ควรทำอย่างไรให้ปลอดภัย
วิ่งไปในระยะทางที่เท่าไร จึงสมควรที่จะเปลี่ยนยางใหม่
โดยทั่วไปสามารถวิ่งได้ถึงระยะทาง 50000 กม. ซึ่งต้องขึ้นกับการขับขี่ ผิวถนน แรงดันลมยาง การบำรุงรักษา และการสลับยาง ซึ่งสามารถตรวจเช็คสภาพของดอกยาง โดยพิจาราณาตัวบ่งชี้ความสึกหรอของยาง ถ้ายางถึงจุดหมด สภาพสมควรเปลี่ยนยาง ยางของรถบางยี่ห้อจะมีจุดบอกสภาพของดอกยางอยู่ด้วยว่า ถึงเวลาควรเปลี่ยนยางหรือ ยังโดยดูจาก จุดหมดสภาพในร่องของดอกยาง เมื่อยางสึกหรอจนเหลือดอกยางลึกเพียง 1.6 มม. หรือน้อยกว่า ถ้าสึกหรอเป็นแนวมากกว่า 2 แนวขึ้นไปควรเปลี่ยนยาง ถ้าดอกยางตื้นมากก็ต้องเสี่ยงกับการลื่นไถลมาก
Tell a friend: | home |